หน้าแรก
|
สาระน่ารู้
กฎระเบียบควรรู้ : นานาสาระกับบีโอไอ
ที่มา : วารสารส่งเสริมการลงทุน เดือนธันวาคม 2555
โดย : คุณสถาปนา พรหมบุญ
นักวิชาการส่งเสริมการลงทุน ระดับชำนาญการ
สำนักบริหารการลงทุน 1
- ถ้าหากยื่นขอรับการส่งเสริมฯ แล้วโครงการไม่ได้รับการอนุมัติ ผู้ขอฯ จะต้องดำเนินการอย่างไร
- ตอบ : หากโครงการไม่ได้รับอนุมัติ บีโอไอจะมีหนังสือไปถึงผู้ขอฯ โดยระบุสาเหตุที่ไม่อนุมัติโครงการ หากบริษัทได้แก้ไขสาระสำคัญของโครงการ ที่เป็นสาเหตุของการไม่ได้รับการอนุมัติ สามารถยื่นคำขอรับการส่งเสริมฯ เข้ามาให้บีโอไอพิจารณาใหม่ได้
- ถ้าจะยื่นขอขยายกำลังผลิตต้องทำอย่างไรบ้าง
- ตอบ : หากต้องการจะขยายกำลังการผลิตของโครงการเดิม จะต้องยื่นคำขออนุญาตแก้ไขโครงการ แต่หากเป็นการขยายกิจการโดยการลงทุนใหม่ สามารถยื่นคำขอรับการส่งเสริมฯ เข้ามาใหม่ได้
- กิจการ Freight Forwarder สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้หรือไม่
- ตอบ : กิจการ Freight Forwarder หากมีกิจกรรมรับฝากและกระจายสินค้า สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้ในประเภท 7.10 กิจการศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) และประเภท 7.11 กิจการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย (International Distribution Center)
- กิจการ IPO ต่างจากกิจการ Trading ทั่วๆ ไปอย่างไร
- ตอบ : กิจการ IPO สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้ในประเภท 7.12 กิจการศูนย์จัดหาจัดซื้อชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ (International Procurement Office) กิจการหลักของ IPO คือ การจัดหาสินค้าหรือชิ้นส่วนโดยนำเข้ามาในชื่อของบริษัทผู้ประกอบการ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 36 (1) และ (2) ซึ่งรายได้เกิดจากการขายสินค้า และจัดส่งให้กับบริษัทลูกค้า จะต้องมีหรือเช่า Warehouse มีกิจกรรมตรวจสอบคุณภาพสินค้า บรรจุสินค้า มีระบบควบคุมสินค้าคงคลังด้วยคอมพิวเตอร์ และต้องมีการจัดหาสินค้าที่หลากหลายทั้งจากในและต่างประเทศ
ในขณะที่กิจการ Trading ไม่อยู่ในประเภทกิจการที่ให้ได้รับการส่งเสริมฯ เป็นการให้บริการเป็นตัวแทนส่งออกและนำเข้าสินค้า
- ความแตกต่างระหว่างกิจการ International Procurement Office (IPO) และ Distribution Center (DC) แตกต่างกันอย่างไร
- ตอบ : กิจการ International Procurement Office - IPO (7.12) บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมฯ จะเป็นผู้นำเข้าสินค้ามาเอง โดยใช้สิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าตามมาตรา 36 และจำหน่ายให้กับลูกค้า
ในขณะที่ Distribution Center - DC (7.10) เป็นการรับฝากสินค้าที่เสียอากรขาเข้าหรือใช้สิทธิ์ยกเว้นอากรขาเข้าโดยผ่านพิธีศุลกากรแล้ว และนำมากระจายให้แก่ลูกค้า โดยที่สินค้าไม่ได้เป็นของตนเอง
- บริษัทที่มีหุ้นไทยข้างมากกับบริษัทที่มีหุ้นต่างชาติข้างมาก จะได้สิทธิและประโยชน์เท่ากันหรือไม่
- ตอบ : สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวกับภาษีอากรได้เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่มีหุ้นไทยข้างมากกับบริษัทที่มีหุ้นต่างชาติข้างมาก แต่สิทธิและประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษีนั้น บริษัทที่มีหุ้นต่างชาติข้างมากจะมีสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 27 เพื่อให้สามารถถือครองที่ดินได้
- ระยะเวลาในการพิจารณาโครงการมีข้อกำหนดเป็นอย่างไร
- ตอบ : ใช้เวลา 15 - 90 วันทำการ ตามขนาดของเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน ดังนี้
- ขนาดการลงทุนไม่เกิน 40 ล้านบาท ใช้เวลาพิจารณา 15 - 40 วันทำการ
- ขนาดการลงทุน 40 - 200 ล้านบาท ใช้เวลาพิจารณาภายใน 40 วันทำการ
- ขนาดการลงทุน 200 - 750 ล้านบาท ใช้เวลาพิจารณาภายใน 60 วันทำการ
- ขนาดการลงทุนมากกว่า 750 ล้านบาท ใช้เวลาพิจารณาภายใน 90 วันทำการ
- อัตราอากรขาเข้าในการนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศจีนเป็นเท่าใด
- ตอบ : ไทยและจีนได้ลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรีสินค้าผักและผลไม้ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2546 ให้ลดอากรขาเข้าของ 2 ประเทศ ให้ลงเหลือร้อยละ 0 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546
- ภาษีและอากรแตกต่างกันอย่างไร
- ตอบ : โดยทั่วไปแล้ว ภาษี หมายถึง ภาษีปลายทางที่รัฐเก็บจากธุรกรรมทางการค้าโดยกรมสรรพากร เช่น ภาษีเงินได้
ส่วนอากร (ขาเข้า) หมายถึง ภาษีต้นทางที่รัฐเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศโดยกรมศุลกากร
- Free Zone คืออะไร
- ตอบ : Free Zone หรือ เขตปลอดอากร หรือเขตประกอบการเสรี หมายถึงเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ โดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าว จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากร ตามที่กฎหมายบัญญัติ เขตปลอดอากรสามารถตั้งได้ทั้งในนิคมและเขตอุตสาหกรรม
- บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมฯ กับบริษัทที่ตั้งอยู่ใน Free Zone ได้สิทธิและประโยชน์ต่างกันอย่างไร
- ตอบ : สิทธิและประโยชน์ของเขตประกอบการเสรี (Free Zone) และบีโอไอ บางอย่างจะเหมือนกัน เช่น การนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงาน การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ เป็นต้น ผู้ประกอบการสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิและประโยชน์ตาม พรบ.ของหน่วยงานใด โดยพิจารณาจากขั้นตอนที่มีความสะดวกสำหรับผู้ประกอบการมากที่สุด
แต่ทั้งนี้ สิทธิและประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล มีเฉพาะตาม พรบ. ส่งเสริมการลงทุนเท่านั้น ผู้ประกอบการที่ตั้งใน Free Zone จึงจะต้องยื่นขอรับการส่งเสริมฯ ด้วย เพื่อขอรับสิทธิและประโยชน์ดังกล่าว
- อยากทราบตารางการจัดสัมมนาของบีโอไอ สามารถดูได้จากที่ไหน
- ตอบ : การจัดการสัมมนาของบีโอไอในแต่ละครั้ง จะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซต์ www.boi.go.th ในหัวข้อปฏิทินกิจกรรม
นอกจากนั้น ทางสมาคมสโมสรนักลงทุนก็มีการจัดอบรมสัมมนาเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการขอรับการส่งเสริมฯ อยู่เป็นระยะ สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของสมาคมฯ www.ic.or.th
- บีโอไอมีสำนักงานในต่างประเทศหรือไม่
- ตอบ : บีโอไอมีสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศ 13 แห่ง ใน 9 ประเทศ ได้แก่ กรุงโตเกียว นครโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ นครกว่างโจว ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย นครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน นครนิวยอร์ก และนครลอสแองเจลีส ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยสำนักงานในต่างประเทศนี้จะทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ และชักจูงนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ให้คำปรึกษา แนะนำ อำนวยความสะดวก และให้บริการข้อมูลแก่นักลงทุน รวบรวมและวิเคราะห์ ข้อมูลข่าวสาร ติดตามสถานการณ์ การเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งติดตามและรวบรวมสถิติการลงทุนในต่างประเทศ และปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงาน ของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
- บีโอไอช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างไร
- ตอบ : บีโอไอให้สิทธิและประโยชน์ทางภาษีอากร เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ และได้ให้ข้อมูลและคำปรึกษาทางด้านการลงทุน ช่วยให้ผู้ประกอบการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ และมีบริการจัดหาผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้รับจ้างผลิต และผู้สนใจร่วมทุน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขยายตลาดให้กับสินค้าและบริการของประเทศไทย และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจไทยมากยิ่งขึ้น
- ตามบัตรส่งเสริมฯ มีเงื่อนไขเฉพาะโครงการว่าจะต้องดำเนินการให้ได้รับใบรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9000 หรือ ISO 14000 หรือมาตรฐานสากลอื่นที่เทียบเท่า ภายใน 2 ปี นับแต่วันเปิดดำเนินการ แต่หากบริษัทได้ขอขยายเวลานำเข้าเครื่องจักรและเปิดดำเนินการออกไป บริษัทจะต้องยื่นแบบรายงานผลการปฏิบัติตามเงื่อนไข ISO เมื่อใด
- ตอบ : หากบริษัทได้รับการอนุมัติให้ขยายเวลานำเข้าเครื่องจักรและเปิดดำเนินการออกไป ระยะเวลาการรายงานผลการปฏิบัติตามเงื่อนไข ISO ก็จะขยายออกไปด้วย โดยบริษัทมีเวลา 2 ปี นับจากวันครบกำหนดเปิดดำเนินการ ในการดำเนินการให้ได้รับใบรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน ISO
- หลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการ ในเรื่องของมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของรายได้ จะใช้เฉพาะบริษัทที่ประกอบกิจการอยู่เดิม หรือบริษัทที่ตั้งใหม่
- ตอบ : หลักเกณฑ์เรื่องมูลค่าเพิ่มจะใช้ในการพิจารณาให้การส่งเสริมฯ ทุกโครงการว่าจะต้องมีมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ยกเว้นกิจการในหมวดเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร และกิจการในหมวดอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
- บริษัทได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรตามมาตรา 28 แต่ต้องการใช้สิทธิและประโยชน์ในการนำเข้าของ Free Zone แทน บริษัทจำเป็นจะต้องแจ้งบัญชีรายการเครื่องจักรผ่านระบบ eMT หรือไม่ เนื่องจากเครื่องจักรที่จะนำเข้าจะใช้ในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมฯ ถ้าต้องแจ้งจะต้องดำเนินการภายในเมื่อใด
- ตอบ : ในกรณีนี้ บริษัทไม่ต้องยื่นรายการเครื่องจักรผ่านระบบ eMT แต่อย่างใด ส่วนรายการเครื่องจักรที่นำเข้ามาใช้ในโครงการนั้น บีโอไอจะตรวจสอบเมื่อบริษัทยื่นขออนุญาตเปิดดำเนินการ
- หากบริษัทมีการนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริมฯ บริษัทจะสามารถรวมมูลค่าเครื่องจักรนั้นๆ รวมเป็นมูลค่าการลงทุนในโครงการได้หรือไม่
- ตอบ : โดยปกติแล้ว เครื่องจักรที่จะใช้ในโครงการจะต้องได้มาหลังจากวันยื่นคำขอรับการส่งเสริมฯ แต่หากมีเครื่องจักรที่ได้มาก่อน ในขั้นตอนการชี้แจงโครงการ บริษัทจะต้องแจ้งให้ทราบว่ามีเครื่องจักรอะไรบ้างที่ได้มาก่อน และแสดงหลักฐานการได้มาของเครื่องจักร
เครื่องจักรที่จะนำมารวมในโครงการได้จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ยังไม่ผ่านการใช้งานในประเทศและยังไม่มีรายได้จากเครื่องจักรนั้นๆ โดยตรวจจากหลักฐานทางบัญชี และจากการไปตรวจสภาพเครื่องจักรที่โรงงาน หากได้รับการอนุญาตให้ใช้ในโครงการได้ บริษัทก็สามารถนำมูลค่าของเครื่องจักรดังกล่าวมารวมเป็นเงินลงทุนได้ แต่ทั้งนี้ หากเป็นเครื่องจักรที่นำเข้ามาโดยชำระอากรขาเข้าไปแล้วก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริมฯ จะสามารถใช้ในโครงการได้ โดยไม่สามารถขอคืนอากรขาเข้าได้
(ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2555)
ที่มา : วารสารส่งเสริมการลงทุน เดือนตุลาคม 2555
โดย : คุณสถาปนา พรหมบุญ
นักวิชาการส่งเสริมการลงทุน ระดับชำนาญการ
สำนักบริหารการลงทุน 1
- กิจการผลิตหรือถนอมอาหารจากพืช ผัก ผลไม้ สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้หรือไม่
- ตอบ :
สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้ในประเภทกิจการ 1.11 กิจการผลิตหรือถนอมอาหาร หรือสิ่งปรุงแต่งอาหารโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย (ยกเว้นการผลิตน้ำด-มและไอศกรีม) ประเภทย่อย 1.11.2 กิจการผลิตหรือถนอมอาหารจากพืช ผัก ผลไม้ ซึ่งจะไดรั้บสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ (จะได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ทุกเขต ส่วนสิทธิและประโยชน์อ-นๆ ให้ได้รับตามเกณฑ์ที่ตั้ง)
- กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพร สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้หรือไม่
- ตอบ :
ขอรับการส่งเสริมฯ ได้ในประเภทกิจการ 1.15 กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพร (ยกเว้น ยา สบู่ ยาสระผม และเครื่องสำอาง) ซึ่งจะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
- กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะ สามารถขอรับการส่งเสริมได้ฯ หรือไม่
- ตอบ :
ขอรับการส่งเสริมฯ ได้ในประเภทกิจการ 4.3 กิจการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะ รวมทั้งชิ้นส่วนโลหะ ซึ่งจะไดรั้บสิทธิและประโยชน์ตามเกณฑ์ที่ตั้ง
- กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้หรือไม่
- ตอบ :
ขอรับการส่งเสริมฯ ได้ในประเภทกิจการ 6.12 กิจการผลิต ผลิตภัณฑ์พลาสติกหรือเคลือบด้วยพลาสติก โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีกระบวนการขึ้นรูปหรือเคลือบด้วยพลาสติก ซึ่งจะไดรั้บสิทธิและประโยชน์ตามเกณฑ์ที่ตั้ง
- สิทธิการถือหุ้นของชาวต่างชาติในกิจการบริการ สามารถถือหุ้นข้างมากได้หรือไม่
- ตอบ :
จะต้องพิจารณาเป็นรายประเภทกิจการไป มีกิจการบริการหลายประเภทที่ต่างชาติสามารถถือหุ้นข้างมากหรือทั้งสิ้นได้
- กิจการ ROH สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้หรือไม่ และได้รับสิทธิและประโยชน์อะไรบ้าง
- ตอบ :
ขอรับการส่งเสริมฯ ได้ในประเภทกิจการ 7.13 กิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Ragional Operating Headquarter - ROH) ซึ่งมีเงื่อนไข
- จะต้องกำกับดูแลกิจการของสาขาหรือบริษัทในเครือในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 3 ประเทศ
- จะต้องมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
- อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือหุ้นข้างมากหรือทั้งสิ้นได้
- จะต้องได้รับใบอนุญาตดำเนินการจากหนJวยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
- จะตอ้ งมีแผนดำเนินการและขอบขา่ ยธุรกิจ ตามที่คณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ
- การบริหารงานทั่วไป การวางแผนทางธุรกิจ และประสานงานธุรกิจ
- การจัดหาวัตถุดิบและชิ้นส่วน
- การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
- การสนับสนุนด้านเทคนิค
- การส่งเสริมด้านการตลาดและการขาย
- การบริหารด้านบุคคลและการฝึกอบรมในภูมิภาค
- การให้คำปรึกษาและแนะนำในการประกอบธุรกิจด้านต่างๆ เช่น ด้านการเงิน การตลาด ระบบบัญชี เป็นต้น
- การวิเคราะห์และวิจัยด้านเศรษฐกิจและการลงทุน
- การจัดการและควบคุมสินเชื่อ
- การให้บริการสนับสนุนอื่นๆ ตามที่บีโอไอเห็นสมควร ซึ่งจะพิจารณาเป็นกรณีไป
ทั้งนี้ ให้ได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเฉพาะเครื่องจักรที่ใช้ในการวิจัยพัฒนา และฝึกอบรม
- การยื่นขอรับการส่งเสริมฯ ต้องใช้เอกสารใดบ้าง มีค่าใช้จ่ายหรือไม่
- ตอบ :
การขอรับการส่งเสริมฯ หรือการติดต่อกับบีโอไอในเรื่องอื่นๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ผู้ขอรับการส่งเสริมฯ จะต้องจัดทำเอกสารจำนวน 3 ชุด โดยยื่นให้บีโอไอจำนวน 2 ชุด และอีก 1 ชุดเก็บไว้สำเนาหลักฐาน (ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นการบังคับว่าจะต้องยื่น 3 ชุด โดยมี 2 ชุดก็สามารถยื่นได้ แต่ควรจะมีสำเนาเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง)
- กรณีที่บริษัทจัดตั้งแล้ว จะต้องแนบหนังสือรับรองฉบับล่าสุดและงบการเงินปีล่าสุดมาด้วย
- กรณีที่มีขนาดการลงทุนเกิน 500 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) จะต้องแนบรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) (ถ้าลงทุนเกิน 80 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท ก็ต้องแนบรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการด้วยเช่นกัน แต่ให้ทำเฉพาะหัวข้อความต้องการของผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับการส่งเสริมฯ และความเหมาะสมของโครงการด้านการเงิน)
- กรณีใช้เครื่องจักรเกิน 10 ปี จะต้องแนบแบบประกอบการพิจารณาเครองจักรใช้แล้ว อายุเกิน 10 ปี (F PA PP 16)
- กรณีประเภทกิจการมีประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม จะต้องแนบแบบประกอบการพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (F PA PP 15)
- กรณีที่ขอรับสิทธิและประโยชน์ตามนโยบายพิเศษอื่น ซึ่งอาจจะมีแบบประกอบคำขอในเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ ก็ให้แนบมาด้วย
- นโยบาย SMEs มีประเภทอะไรบ้าง และจะให้การส่งเสริมฯ อีกหรือไม่
- ตอบ :
นโยบายให้การส่งเสริมฯ โครงการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของบีโอไอ ได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2554 ปัจจุบันยังไม่มีประกาศฉบับใหม่ออกมา แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในวิสาหกิจขนาดดังกล่าว สามารถยื่นขอในเงื่อนไขตามเกณฑ์ปกติของบีโอไอได้
- กิจการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตร สามารถขอรับการส่งเสริมฯ ได้หรือไม่
- ตอบ :
ขอรับการส่งเสริมฯ ได้ในประเภทกิจการ 4.2 กิจการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ และชิ้นส่วน ประเภทย่อย 4.2.2 กิจการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ สำหรับใช้ในการเกษตร (Farm Machinery) และอุตสาหกรรมผลิตอาหาร (Food Processing Machinery) ซึ่งจะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศเป็นพิเศษ (จะได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ทุกเขต โดยไม่กำหนดสัดส่วนการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนสิทธิและประโยชน์อื่น ๆ ให้ได้รับตามเกณฑ์เขตที่ตั้ง)
- กิจการโลจิสติกส์ได้สิทธิและประโยชน์อะไรบ้าง
- ตอบ :
กิจการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ มีหลายประเภท ซึ่งสิทธิและประโยชน์ก็แตกต่างกันไป เช่น
7.1.4 กิจการขนถ่ายสินค้าสำหรับเรือเดินทะเล จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.1.5 กิจการสถานที่ตรวจปล่อยและบรรจุสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์เพื่อการส่งออกออก หรือโรงพักสินค้าเพื่อตรวจปล่อยของขาเข้า และบรรจุของขาออกที่ขนส่งโดยระบบคอนเทนเนอร์นอกเขตท่าเทียบเรือ (รพท.) จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.1.6 กิจการสนามบินพาณิชย์ จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.3.1 กิจการบริการที่จอดเรือท่องเที่ยว จะได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรทุกเขต ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี หากตั้งในเขต 1 ยกเว้นภาษีเงินไดนิ้ติบุคคล 7 ปี หากตั้งในเขต 2 และยกเว้น ภาษีเงินไดนิ้ติบุคคล 8 ปี หากตั้งในเขต 3 ส่วนสิทธิและประโยชน์อื่น ๆ ตามเกณฑ์ที่ตั้ง
7.3.2 กิจการเดินเรือท่องเที่ยวหรือให้เช่าเรือท่องเที่ยว จะได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรทุกเขต ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ทุกเขต ส่วนสิทธิและประโยชน์อื่นๆ ตามเกณฑ์เขตที่ตั้ง
7.9 กิจการขนส่งมวลชนและสินค้าขนาดใหญ่ จะแบ่งเป็นประเภทย่อย ดังนี้
7.9.1 กิจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและหรือรถไฟขนส่ง (เฉพาะระบบรางหรือระบบร่วมรางและถนน) จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.9.2 กิจการขนส่งทางท่อ จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.9.3 กิจการขนส่งทางอากาศ จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.9.4 กิจการขนส่งทางเรือ จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.9.5 กิจการเรือเฟอร์รี่จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.9.6 กิจการเรือกลดันลากจูง (Tug Boat) จะได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
7.10 กิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย (Distribution Center – DC) จะได้รับสิทธิและประโยชน์ทางภาษีอากรเฉพาะการยกเว้นขาเข้าเครื่องจักรทุกเขต
7.11 กิจการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย (International Distribution Center – IDC) จะได้รับสิทธิและประโยชน์ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรทุกเขต และหากตั้งโรงงานในเขตอุตสาหกรรมโลจิสติกส์จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี หากตั้งโรงงานนอกเขตอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ทุกเขต
- กิจการคลังสินค้า (Warehouse) สามารถขอรับการส่งเสริมฯ
ได้หรือไม่
- ตอบ :
กิจการคลังสินค้าที่จะยื่นขอรับการส่งเสริมฯ ได้ จะต้องมีการดำเนินกิจการให้เข้าข่ายเงื่อนไขประเภทกิจการที่ระบุไว้ โดยประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมฯ มีดังนี้
7.10 กิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย (Distribution Center – DC) เป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ทันสมัย ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ตามที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ และรับฝากสินค้านำเข้าได้เฉพาะที่เสียภาษีอากรหรือของที่ใช้สิทธิและประโยชน์อิ่นซึ่งผ่านพิธีการศุลกากรแล้ว เช่น สินค้าที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้า ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนหรือของอื่น ๆ ตามที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด
7.11 กิจการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย (International Distribution Center – IDC) จะต้องเป็นศูนย์กระจายสินค้าไปต่างประเทศที่ให้บริการขนส่ง จัดส่ง เก็บรักษา บรรจุ และบริหารสินค้าคงคลังของลูกค้า
โดยจะต้องกระจายสินค้าไปต่างประเทศไม่น้อยกว่า 5 ประเทศ มีอุปกรณ์จัดเก็บและขนถ่ายที่ทันสมัย มีระบบควบคุมบริหารคลังสินค้าด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย และมีระบบติดตามสินค้าแบบ Online (Track & Trace) ตามที่คณะกรรมการสง่ เสริมการลงทุนให้ความเห็นชอบ และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
7.12 กิจการศูนย์จัดหาจัดซื้อชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ (International Procurement Office – IPO) จะต้องมีหรือเช่าคลังสินค้า และมีระบบจัดการสินค้าคงคลังด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จะต้องมีกิจกรรมการจัดหาสินค้า การตรวจสอบคุณภาพสินค้า และการบรรจุสินค้า จะต้องมีแหล่งจัดหาสินค้าจากหลายราย และอย่างน้อยจะต้องมีแหล่งจัดหาจากในประเทศด้วย และจะต้องมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
(ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2555)
ที่มา : วารสารส่งเสริมการลงทุน เดือนกันยายน 2555
โดย : ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน
- พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมมีกี่ประเภทอะไรบ้าง
-
ตอบ : ปัจจุบันการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
ได้แบ่งพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- เขตอุตสาหกรรมทั่วไป (General Industrial Zone) คือ เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การบริการ หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการ
- เขตประกอบการเสรี (IEAT Free Zone) คือ เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม หรือพาณิชยกรรมเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ การรักษาความมั่นคงของรัฐ สวัสดิภาพของประชาชน การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือความจำเป็นอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นตามที่กฎหมายบัญญัติ
- เขตปลอดอากร (Free Zone) คืออะไร
-
ตอบ : เขตปลอดอากร หมายถึง เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ โดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ เขตปลอดอากรสามารถตั้งได้ทั้งในนิคมอุตสาหกรรม และเขตอุตสาหกรรม
- การตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมและเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จะได้รับสิทธิและประโยชน์อะไรบ้าง
-
ตอบ : ผู้ลงทุนในเขตอุตสาหกรรมได้รับ สิทธิและประโยชน์ ดังนี้
- การประกอบกิจการบริการต่างๆ สามารถดำเนินการในเขตอุตสาหกรรมได้ โดย กนอ. ได้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรม ด้วยการให้บริการที่ครบวงจร และจำเป็นต่อการประกอบอุตสาหกรรม อาทิเช่น การบริการด้านขนส่ง คลังสินค้า ศูนย์ฝึกอบรม สถานพยาบาล ฯลฯ โดยผู้ประกอบการจะสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปได้
- สิทธิประโยชน์ทั่วไป (Non Tax) สำหรับผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป มีดังนี้
- สิทธิการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม
- สิทธิในการนำเข้าช่างฝีมือต่างชาติเข้ามาทำงาน และนำคู่สมรส และบุคคลในอุปการะเข้ามาอยู่ในประเทศ
- สิทธิในการส่งเงินตราต่างประเทศออกนอกประเทศ
ผู้ลงทุนในเขตประกอบการเสรี (IEAT Free Zone) ภายใต้กฎหมาย กนอ. ฉบับล่าสุด จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และการอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น ดังนี้
- สิทธิประโยชน์
- ผู้ประกอบการในเขตประกอบการเสรี จะได้รับสิทธิประโยชน์โดยไม่กำหนดเงื่อนไขการส่งออกสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร และได้รับความสะดวกมากขึ้นในการนำของหรือวัตถุดิบเข้าไปในเขตประกอบการเสรี
- ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเพิ่มขึ้น
- ลดภาระภาษี สำหรับการนำผลิตภัณฑ์ออกจากเขตประกอบการเสรี เพื่อใช้หรือจำหน่ายในประเทศ โดยที่หากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์นั้น มีส่วนผสมหรือส่วนประกอบของวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศ ซึ่งเดิมไม่มีสิทธิ์ได้คืนหรือยกเว้นอากร ก็จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำราคาวัตถุดิบนั้นๆ มาคิดค่าภาษีอากร
ผู้ประกอบการในเขตประกอบการเสรี ได้รับสิทธิประโยชน์ตาม พ.ร.บ. กนอ. เช่นเดิมด้วย ดังนี้
- สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร อาทิ การยกเว้นอากรขาเข้า ส่งออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต สำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ ส่วนประกอบ วัตถุดิบ ของที่นำเข้ามาผลิต และสินค้า
- สิทธิประโยชน์ทั่วไป ประกอบด้วย สิทธิ์ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน การนำช่างเทคนิค ผู้ชำนาญการ เข้ามาทำงาน การนำครอบครัวและผู้อยู่ในอุปการะเข้ามาอยู่ในประเทศ และการโอนเงินตราต่างประเทศกลับประเทศได้
- ความสะดวกในการประกอบการ
- อำนวยความสะดวกในการนำสินค้าและวัตถุดิบ เข้ามาในประเทศและเข้าไปในเขตประกอบการเสรี เพื่อผลิตสินค้าหรือเพื่อการค้าหรือบริการ โดยไม่ต้องระบุความเป็นเจ้าของ
- อำนวยความสะดวกในการดำเนินการส่งออกสินค้าจากเขตประกอบการเสรีไปต่างประเทศ ด้วยการกำหนดให้การนำของหรือวัตถุดิบ เข้าไปในเขตประกอบการเสรี เพื่อการผลิต
ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใด ได้รับความสะดวกมากขึ้น โดยมิต้องขอหรือมีใบอนุญาตนำเข้า และการควบคุมคุณภาพหรือมาตรฐานตามกฎหมายอื่น ตลอดจนการประทับตราหรือเครื่องหมายใดๆ ทั้งนี้ไม่รวมถึงกฎหมายศุลกากร
นอกจากนั้น ผู้ประกอบการยังสามารถขอรับสิทธิและประโยชน์ ที่ได้รับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน (ผู้ประกอบการต้องขอรับการส่งเสริมฯ ด้วย) โดยสิทธิและประโยชน์จะขึ้นอยู่กับเขตที่สถานประกอบการนั้นตั้งอยู่
- การถือหุ้นของคนต่างชาติ (กิจการโรงแรม) มีหลักเกณฑ์อย่างไร
-
ตอบ : การถือหุ้นข้างมากในกิจการโรงแรมของคนต่างชาติ ตามบัญชีสามท้าย พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ตามปกติต้องมีหุ้นไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ยกเว้นหากได้รับการส่งเสริมฯ หรือได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ต่างชาติจะสามารถถือหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่งได้
- การถือหุ้นของคนต่างชาติในกิจการตามบัญชีท้าย พ.ร.บ. ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวมีหลักเกณฑ์อย่างไร
-
ตอบ : กิจการในสามบัญชีท้าย พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว คนต่างด้าวถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 51 ยกเว้นกิจการในบัญชีสอง หากได้รับอนุญาตจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า คนต่างด้าวจะถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 60 แต่หากได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี จะถือหุ้นได้ถึงร้อยละ 75
ส่วนในบัญชีสามหากได้รับอนุญาตจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะสามารถถือหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่ง หรือถือหุ้นทั้งสิ้นได้ (แต่ถ้าได้รับการส่งเสริมฯ จะสามารถถือหุ้นทั้งสิ้นได้ทั้งบัญชีสองและสาม)
- บริษัทที่มีหุ้นไทยข้างมาก และบริษัทที่มีหุ้นต่างชาติข้างมาก หากขอรับการส่งเสริมฯ จะได้สิทธิและประโยชน์เท่ากันหรือไม่
-
ตอบ : สิทธิและประโยชน์ที่เกี่ยวกับภาษีอากรได้เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหุ้นไทยหรือหุ้นต่างชาติข้างมาก แต่บริษัทที่มีหุ้นต่างชาติข้างมากจะได้รับสิทธิและประโยชน์ด้านการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพิ่มขึ้นมา ซึ่งหากเป็นบริษัทไทยจะสามารถถือครองที่ดินได้อยู่แล้ว
- หากบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นต่างชาติ จะต้องแจ้งบีโอไอหรือไม่
-
ตอบ : การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ที่ไม่กระทบสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติ ควรจะแจ้งให้บีโอไอทราบทุกครั้ง ถึงแม้ไม่มีผลต่อสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติ บริษัทควรจะมีหนังสือแจ้งมาที่บีโอไอ แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น จากหุ้นไทยเป็นหุ้นต่างชาติ จะต้องให้บีโอไออนุมัติก่อน จึงจะดำเนินการได้ โดยยื่นเรื่องขอแก้ไขอัตราส่วนผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งแนบหนังสือยินยอมให้บริษัทมีผู้ถือหุ้นข้างมากจากผู้ถือหุ้นไทยทุกราย หรือมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นไทย และหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทฉบับล่าสุดมาพร้อมกันด้วย
- บริษัทต่างชาติ จะสามารถทำกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ได้หรือไม่
-
ตอบ : ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดสรรที่ดิน ไม่อนุญาตให้ต่างชาติทำธุรกิจนี้
- การถือหุ้นของต่างชาติในกิจการบริการ สามารถถือหุ้นข้างมากได้หรือไม่
-
ตอบ : จะต้องพิจารณาเป็นรายประเภทกิจการไป มีกิจการบริการหลายประเภทที่ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้
- หากบริษัทต่างชาติต้องการนำซอฟต์แวร์จากต่างประเทศมาพัฒนาและใช้ในประเทศไทย จะสามารถขอรับการส่งเสริมฯ จากบีโอไอได้หรือไม่ และได้รับสิทธิประโยชน์อย่างไร
-
ตอบ : หากบริษัทขอรับการส่งเสริมฯ จัดอยู่ในประเภท 5.8 กิจการซอฟต์แวร์ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- มีกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์
- โครงการลงทุนตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน)
- ได้รับใบรับรองมาตรฐานจากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือใบรับรองระบบคุณภาพตามมาตรฐาน Capability Maturity Model Integration (CMMI) หรือเทียบเท่า ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่เปิดดำเนินการ
- รายได้จากการจำหน่ายหรือบริการที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นรายได้ที่ได้รับการส่งเสริมฯ หากกิจการของบริษัทเข้าข่ายดังกล่าว ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้
- | สิทธิและประโยชน์ตามกิจการที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศเป็นพิเศษ |
- | ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร ให้ได้รับสิทธิและประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า |
เมื่อนักลงทุนได้รับการส่งเสริมฯ แล้ว นักลงทุนสามารถนำเอกสารไปยื่นกับสำนักบริหารการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ตามมาตรา 12 เพื่อขอรับหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจ หรือหากนักลงทุนไม่ต้องการยื่นขอรับการส่งเสริมฯ ก็สามารถไปดำเนินการจดทะเบียนการค้าที่กระทรวงพาณิชย์ และนำเอกสารไปยื่นกับสำนักบริหารการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ตามมาตรา 17 เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวได้
- ต้องการยกเลิกบริษัท จะต้องทำอย่างไร
-
ตอบ : สำหรับขั้นตอนในการปฏิบัติมี 2 ขั้นตอน คือ
- การจดทะเบียนเลิกบริษัท
ขั้นตอนแรก ต้องเรียกประชุมผู้เป็นหุ้นส่วน โดยการส่งจดหมายลงทะเบียนหรือลงประกาศหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เพื่อเรียกประชุม และกำหนดวันเวลาว่าจะประชุมเมื่อใด
เมื่อถึงกำหนดวันเวลา เริ่มจัดทำการประชุมกันเพื่อตกลงว่า ต้องการเลิกบริษัท แต่งตั้งผู้ชำระบัญชี ผู้สอบบัญชี ผู้ถือหุ้นลงลายมือชื่อในคำขอเลิกบริษัท
จากนั้นจึงไปจดทะเบียนเลิกบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อจดทะเบียนเลิกบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจแล้วต้องดำเนินการ ดังนี้
- ลงประกาศหนังสือพิมพ์ว่า บริษัทได้เลิกกิจการแล้ว มีใครคัดค้านหรือไม่
ถ้าบริษัทจดเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
- ต้องจัดทำเอกสาร ภพ.09 และเอกสารอื่นๆ ที่ใช้ในการจดทะเบียนเลิกระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งกำหนดให้จดภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ต้องการจดทะเบียนเลิก
- จัดทำงบดุล งบกำไรขาดทุนต่างๆ ยื่นที่สรรพากรให้เรียบร้อย
- การจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี เมื่อได้จัดทำรายการข้อ 1 เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ
- ลงประกาศหนังสือพิมพ์ว่า บริษัทเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ชำระบัญชีต่างๆ เรื่องเสร็จการชำระบัญชี
- เมื่อประชุมแล้ว ผู้ชำระบัญชี ก็ไปจดทะเบียนเสร็จชำระบัญชี
- เมื่อจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว ก็เป็นการเสร็จสิ้นในการปิดบริษัท
ข้อมูล ณ วันที่ 28 กันยายน 2555
หน้าแรก
|
สาระน่ารู้
|