Home | สาระน่ารู้

ตัวอย่างการดำเนินคดี
กรณีบริษัทฯ ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI)
กระทำผิดตามกฏหมาย พ.ร.บ. ศุลกากร

(คดีพิเศษที่ 26/2551 สำนักคดีภาษีอากร)

ที่มา: เว็บไซต์กรมส่งเสริมคดีพิเศษ (DSI)
เผยแพร่วันที่ 19 พฤษภาคม 2557

      คดีพิเศษที่ 26/2551 เป็นกรณีที่บริษัทฯ ผู้ต้องหาเป็นบริษัทฯ ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน จากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยได้รับสิทธิและประโยชน์ให้ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุที่จำเป็น ที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิตส่งออกตามมาตรา 36 (1) แห่ง พ.ร.บ. ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 แต่ผู้ต้องหาได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขและวิธีการสำหรับส่วนสูญเสียของวัตถุดิบตามมาตรา 36 (1) แห่ง พ.ร.บ. ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 กล่าวคือได้นำเศษวัตถุดิบส่วนสูญเสีย (SCRAP) ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ได้แก่ เศษเหล็ก เศษเหล็ก (ชิ้น) เศษอลูมิเนียม เศษสแตนเลส เศษพลาสติก เศษทองเหลือง และเศษทองแดง รวม 7 รายการ ซึ่งเป็นส่วนสูญเสียหรือเศษซากที่เกิดขึ้นจากวัตถุดิบในกระบวนการผลิตตามใบขนส่งสินค้าขาเข้าในปี พ.ศ. 2540 ถึง พ.ศ. 2543 ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยได้รับยกเว้นอากรขาเข้าดังกล่าว มีน้ำหนักเศษวัตถุดิบรวมทั้งสิ้น 50,038,488.21 กิโลกรัม และเศษวัตถุดิบที่เป็นชิ้นจำนวน 20,271,764 ชิ้น ไปจำหน่ายให้กับบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นอากรเป็นรายวันโดยมีมูลค่าในเชิงพาณิชย์ ก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะอนุมัติให้ตัดบัญชีวัตถุดิบและยื่นขอชำระภาษีอากร

      คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีการจำหน่ายเศษวัตถุดิบที่มีมูลค่าในเชิงพาณิชย์ดังกล่าว ไม่ปรากฏหลักฐานการชำระภาษีอากรของเศษวัตถุดิบที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยได้รับการยกเว้นค่าภาษีอากร ซึ่งถือว่าของนั้นได้โอนไปเป็นของบุคคลที่ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นอากร หรือได้นำไปใช้ในการอื่นนอกจากที่กำหนดไว้

      คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการตรวจสอบเศษวัตถุดิบ ส่วนสูญเสีย (SCRAP) ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต มีขั้นตอนและวิธีการโดยการตรวจสอบจากบัญชีเอกสารหลักฐานการรับเงิน (RECEIPT SLIP) ซึ่งได้สรุปยอดเศษวัตถุดิบส่วนสูญเสีย (SCRAP) ตามปริมาณ น้ำหนัก และราคาการซื้อขายเศษวัตถุดิบส่วนสูญเสีย (SCRAP) ซึ่งเป็นเอกสารทางบัญชีของบริษัทฯ ผู้ต้องหา และเป็นเอกสารที่ได้มาจากการตรวจค้น ณ สถานประกอบการของผู้ต้องหาเอง อีกทั้งเป็นเอกสารที่น่าเชื่อว่าได้รับการยกเว้นตามขั้นตอนและเงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เนื่องจากการได้รับสิทธิยกเว้นอากรจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยนำเครื่องจักร หรือวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาทำการผลิต ผสม หรือประกอบ แล้วส่งออกจำหน่ายไปยังต่างประเทศเท่านั้น

      ต่อมาภายหลังผู้ต้องหาได้ส่งผู้แทนมาพบเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร โดยยืนยันแต่เพียงว่าได้เสียภาษีถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) แต่ไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับส่วนต่างระหว่างที่ตรวจพบเศษวัตถุดิบตามเอกสาร กับส่วนที่ได้รับการชำระภาษี ซึ่งจากการตรวจพบเศษวัตถุดิบนั้น มีจำนวนมากกว่าส่วนที่ได้ชำระภาษีไว้แล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวถึงแม้การที่ผู้ต้องหามีเอกสารหลักฐานมายืนยันว่ามิได้กระทำความผิดตามที่กล่าวอ้าง แต่มิได้ชี้แจงในรายละเอียด โดยสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชำระภาษีอากรให้เจ้าพนักงานทราบ ส่วนกรณีการจะขายเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตได้นั้น จะต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้ตัดยอด ตัดบัญชี และจะต้องชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงจะขายเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตนั้นได้

      คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษร่วมกันพิจารณาแล้วเชื่อว่า บริษัทฯ ผู้ต้องหาเป็นผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้รับสิทธิและประโยชน์ให้ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบ และวัสดุจำเป็น ที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิตส่งออกตามมาตรา 36 (1) แห่ง พ.ร.บ. ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 แต่ได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขและวิธีการสำหรับส่วนสูญเสียของวัตถุดิบตามมาตรา 36 (1) แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 โดยนำเศษวัตถุดิบส่วนสูญเสีย (SCRAP) ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ได้แก่ เศษเหล็ก เศษเหล็ก (ชิ้น) เศษอลูมิเนียม เศษสแตนเลส เศษพลาสติก เศษทองเหลือง และเศษทองแดง ซึ่งเป็นส่วนสูญเสียหรือเศษซากที่เกิดจากวัตถุดิบในกระบวนการผลิต ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ไปจำหน่ายให้กับบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นอากร ก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะอนุมัติให้ตัดบัญชีวัตถุดิบและยื่นขอชำระภาษีอากร อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานการชำระภาษีอากรของวัตถุดิบที่นำเข้า ซึ่งถือว่าของนั้นได้โอนเป็นของบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นอากร หรือได้นำไปใช้ในการอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ ทำให้มีหน้าที่ต้องแจ้งขอชำระอากรสำหรับส่วนสูญเสียของวัตถุดิบให้ครบถ้วน เมื่อไม่ปรากฏว่าได้ชำระภาษีสำหรับส่วนสูญเสียของวัตถุดิบที่ได้จำหน่ายไปให้ถูกต้อง จึงต้องถือว่าส่วนสูญเสียของวัตถุดิบที่จำหน่ายให้แก่บุคคลที่ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นอากรหรือนำไปใช้ในการอื่น

      คณะพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทฯ ผู้ต้องหามีหน้าที่ต้องแจ้งขอชำระอากรสำหรับส่วนสูญเสียของวัตถุดิบให้ครบถ้วน รวมราคาประเมิน 427,344,327.09 บาท คิดเป็นค่าอากรขาเข้า 9,070,727.00 บาท และให้ชำระภาษีอากรที่ขาดจำนวน 9,070,272.00 บาท มีโทษให้ปรับสองเท่าคิดเป็นเงิน 18,141,454.00 บาท เงินเพิ่ม 9,070,272.00 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 35,869,254.00 บาท เบี้ยปรับ 35,869,245.00 บาท เงินเพิ่ม 35,869,254.00 บาท รวมภาษีที่ต้องชำระทั้งสิ้น 141,895,111 บาท

      กรณีดังกล่าวถือได้ว่าบริษัทฯ ผู้ต้องหาได้กระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากร โดยการฝ่าฝืนตามมาตรา 10 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ประกอบมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน จึงมีความผิดฐานร่วมกันสำแดงเท็จหรือเกี่ยวข้องด้วยประการใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงค่าภาษีศุลกากรโดยเจตนาฉ้อค่าภาษี ตามมาตรา 99, 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบกับมาตรา 16, 17 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 คดีมีหลักฐานพอฟ้อง เห็นควรสั่งฟ้องบริษัทฯ ผู้ต้องหาตามฐานความผิดดังกล่าว

      อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นทางคดีเห็นควรสั่งฟ้องบริษัทฯ ผู้ต้องหาตามความเห็นของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งต่อมาผู้ต้องหาได้ติดต่อขอระงับคดีในชั้นพนักงานอัยการ โดยยินยอมชำระค่าภาษีอากรที่ขาดพร้อมเบี้ยปรับ




views 7,406
Total pageviews 4,415,118 since Jan 2014

FAQ 108 คำถามกับงานส่งเสริมการลงทุน
เว็บไซต์ | เฟสบุ๊ค | เว็บบอร์ด | ติดต่อเรา
Copyright © FAQ 108 COMPANY LIMITED. All rights reserved.